ใครที่เป็นคอกาแฟคงมีความรู้สึกอยากได้เครื่องชงกาแฟสดอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะซื้อมาไว้ติดบ้าน หรือสำหรับใครที่คิดจะประกอบธุรกิจร้านกาแฟ คาเฟ่ ต่างรู้ดีว่าการเลือกซื้ออุปกรณ์ร้านกาแฟที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดีที่สุดเป็นเรื่องที่สำคัญที่ละเลยไปไม่ได้

แต่เชื่อได้เลยว่าหลายคนคงมีคำถามที่ติดอยู่ในใจว่า แล้วการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟสด หรือที่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ (Espresso Machine) นั้นมีเทคนิควิธีการอย่างไร? เพราะต้องยอมรับก่อนว่าในตลาดของเครื่องชงกาแฟสดในปัจจุบันมีให้เลือกสรรตามความชอบและการใช้งานได้หลากหลาย แถมราคาก็มีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน ฉะนั้นใครที่กำลังมองหาเครื่องชงกาแฟสดติดบ้านหรือร้านไว้สักเครื่อง แต่ไม่รู้จะเลือกอย่างไร ในบทความนี้ Aroma ได้รวบรวมเคล็ดลับทั้งหมดมาฝากกัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย 

1. ถามความต้องการของตัวเอง

แน่นอนว่าในฐานะของผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟแล้ว การเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟสดก็เปรียบเสมือนกับหัวใจหลักของร้าน เพราะกาแฟหนึ่งแก้วจะมีคุณภาพที่คุ้มค่ากับการจ่ายเงินของลูกค้าหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเครื่องชงกาแฟว่าได้มาตรฐานและมีความสามารถในการชงกาแฟเป็นอย่างไร แต่กลับกันในกรณีที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจกาแฟแต่ต้องการเพียงแค่เครื่องชงกาแฟสดที่มีคุณภาพเอาไว้ดื่มด่ำรสชาติกาแฟในแต่ละวัน อาจจะมองเครื่องชงกาแฟที่มีสเกลเล็กลงมาหน่อย เน้นการใช้งานที่ง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อน ทั้งในเรื่องของราคาและความสามารถในการชงต่อเนื่อง แถมยังเป็นการประหยัดงบประมาณในการลงทุน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปให้มากที่สุด

2. เลือกขนาดของเครื่องชงให้เหมาะสม

หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกเครื่องชงกาแฟเพื่อประกอบธุรกิจร้านกาแฟ คาเฟ่ อาจจะเริ่มต้นจากการเลือกเครื่องชงที่มีขนาดเหมาะสมกับขนาดร้าน เพราะแน่นอนว่าระบบหม้อต้มน้ำหรือระบบบอยเลอร์ของเครื่องชงกาแฟก็จะมีขนาดที่ต่างกันออกไป ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการชงกาแฟในแต่ละวัน เพราะขนาดของหม้อต้มน้ำที่ใหญ่กว่าจะช่วยให้อุณหภูมิน้ำที่ใช้ชงกาแฟมีความเสถียรกว่า อาจแบ่งได้ 3 ขนาด ดังนี้

  • เครื่องชงขนาดเล็ก (หม้อต้มน้ำ 300 ซีซี)
  • เครื่องชงขนาดกลาง (หม้อต้มน้ำ 1.3 – 2 ลิตร)
  • เครื่องชงขนาดใหญ่ (หม้อต้มน้ำ 6.5 ลิตรขึ้นไป)

สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นเปิดร้านกาแฟและมีกลุ่มเป้าหมายลูกค้าขนาดเล็ก คือลูกค้าที่เข้าร้านในแต่ละวันไม่ได้มาเป็นกลุ่มใหญ่มากนัก อาจจะมองที่เครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก แต่หากร้านมีกลุ่มเป้าหมายแบบเป็นกลุ่ม เข้าร้านมาทีละหลายคน มีความถี่ตลอดทั้งวันอาจจะเริ่มมองหาเครื่องชงกาแฟขนาดกลางขึ้นไป 

3. วัสดุของเครื่องชงกาแฟ

หลายคนชอบละเลยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องของวัสดุอุปกรณ์ของเครื่องชงกาแฟ จนทำให้ได้เครื่องชงกาแฟที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งส่งผลเสียต่อการใช้งานในระยะยาว ต้องบอกว่าวัสดุเครื่องชงกาแฟเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อความทนทานของเครื่องชงกาแฟ อย่างเช่น หากเครื่องชงกาแฟทำมาจากวัสดุอย่างสเตนเลสก็จะมีความสามารถในการทนต่อการกัดกร่อนจากแร่ธาตุในน้ำได้ดีกว่าวัสดุที่ทำมาจากพลาสติกหรือทองแดงเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นต้องใส่ใจในคุณภาพของวัสดุให้ดี ก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องชงกาแฟนั่นเอง 

4. ออปชั่นเสริม

แน่นอนว่าเครื่องชงกาแฟที่มีราคาสูงก็จะมีตัวเลือกในการให้ออปชั่นเสริมอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นในการใช้งาน เช่น ฉนวนกันความร้อนของหม้อต้ม ที่จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าและทำให้หม้อต้มมีอุณหภูมิคงที่มากขึ้น หรือก้านทำฟองนมของเครื่องชงกาแฟบางรุ่นที่มีตัวแลกเปลี่ยนความร้อนและมีหม้อต้มแบบ Double จะทำให้ตีฟองนมได้หนานุ่มและเร็วขึ้นกว่าเครื่องชงที่มีหม้อต้มแบบ Single เหล่านี้เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่จะส่งผลต่อราคาของเครื่องชงกาแฟ

5. บริการหลังการขาย

การรับประกันและการดูแลจากผู้ขายหรือดีลเลอร์เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟสดจากที่ใด เพราะอย่าลืมว่าเมื่อเกิดข้อสงสัยหรือเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วคนที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ก็มีเพียงแค่ผู้ขายหรือดีลเลอร์เท่านั้น ดังนั้นการมองหาดีลเลอร์หรือผู้ขายที่มีบริการหลังการขายที่ดีก็จะช่วยให้เพิ่มความมั่นใจและรู้สึกสบายใจในทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไป

แนะนำเครื่องชงกาแฟคุณภาพพรีเมียม จาก Aroma

1. Expobar Crem One 2B 1G

ดื่มด่ำกลิ่นกาแฟแบบเหนือระดับ กับเครื่องชงกาแฟสด Crem One 2B 1G ที่นำเข้าจากสเปน มาพร้อมกับดีไซน์จากวัสดุประกอบเครื่องจากโลหะสเตนเลสที่มีความทนทานรับประกันการใช้งานยาวนานถึง 1 ปี มีความจุหม้อต้มขนาด 1.7 ลิตร + 1.2 ลิตร แรงดันหม้อต้มถึง 1.2 บาร์ เป็นระบบปั๊มแบบ Rotary Pump มาพร้อมกับหัวกรุ๊ปชงขนาด 1 หัวชงและก้านสตีมฟองนม พร้อมทำทุกเมนูเครื่องดื่มที่ต้องใช้ฟองนม เหมาะสำหรับการมีติดบ้านเพื่อเอาไว้รับรสชาติกาแฟและกลิ่นหอมละมุน หรือจะตั้งในร้านกาแฟขนาดเล็ก ก็สามารถนำเสนอประสบการณ์เอสเพรสโซ่ที่เหนือชั้นได้อย่างลงตัว

2. Expobar Crem Ex3 Display Leva 2 GR]

สำหรับใครที่ตั้งใจประกอบธุรกิจร้านกาแฟ คาเฟ่ที่มีขนาดกลางขึ้นไป อาจจะต้องลองมองหาเครื่องชงกาแฟที่มีขนาดหม้อต้มที่ใหญ่ขึ้น สำหรับ Expobar Crem Ex3 Display Leva 2 GR มาพร้อมกับหม้อต้มขนาด 11.5 ลิตร 2 หัวกรุ๊ปชง ปั๊มน้ำแบบ Rotary มีหน้าจอ LED ที่แสดงรายละเอียดในการชงทำให้การชงลื่นไหลไม่มีสะดุด ที่สำคัญคือมีระบบทำความร้อนแบบ PID ทำให้อุณหภูมิของน้ำกาแฟที่ได้มีความเสถียรมากยิ่งขึ้น มีโปรแกรมล้างหัวชงอัตโนมัติ มีชั้นอุ่นแก้ว สำหรับคงอุณหภูมิของน้ำที่ใช้ในการชงกาแฟให้คงที่อยู่เสมอ

3. Victoria Arduino Va358 White Eagle T3 3 GR

สำหรับผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจร้านกาแฟขนาดใหญ่ ต้องการเครื่องชงกาแฟสดที่มีความจุหม้อต้มขนาดใหญ่มากขึ้น Aroma ขอแนะนำ Victoria Arduino Va358 White Eagle T3 3 GR ที่มาพร้อมกับหม้อต้มขนาด 17.3 ลิตร และ 3 หัวกรุ๊ปชง ก้านสตีมนม 2 ก้านมีระบบ Cool Touch ป้องกันความร้อนขณะเครื่องทำงาน และยังมีระบบ Easy Cream สามารถให้ความร้อนของฟองนมที่เหมาะสมตามความต้องการ จอแสดงผล TFT แสดงข้อมูลการทำงานทั้งหมดของเครื่องเพื่อให้ได้แก้วกาแฟที่ดีที่สุด ด้วยดีไซน์ที่ออกแบบให้ตัวเครื่องไม่สูงมาก เพื่อให้บาริสต้าและลูกค้าได้สบตา พูดคุยกัน เพิ่มความเป็นกันเองให้กับบรรยากาศของร้านได้มากขึ้น

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ 5 เคล็ดลับที่ได้นำมาฝากกัน อย่างที่รู้กันดีว่าการเลือกเครื่องชงกาแฟก็เหมือนกับการเลือกคู่ครองชีวิตที่จะสามารถมอบประสบการณ์พิเศษให้กับคนที่ดื่มกาแฟแก้วนั้นได้อย่างไม่รู้ลืม เพราะที่ Aroma เราให้มากกว่าความพรีเมียมของรสชาติกาแฟ แต่ยังมีหลากหลายเครื่องชงกาแฟสด รวมไปถึงอุปกรณ์ร้านกาแฟอื่นๆ ที่ให้เลือกสรรได้ตามใจชอบ สามารถเข้ามาเลือกช้อปปิ้งออนไลน์ได้เลยที่ Aroma

WE ARE AROMAAroma Group คือผู้นำธุรกิจกาแฟคั่วบด และเครื่องดื่มแบบครบวงจร ที่มีความเชี่ยวชาญ และสั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี ธุรกิจของเราครอบคลุมตลอดต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การคัดสรรและจัดจำหน่ายวัตถุดิบชั้นดี การจำหน่ายเครื่องชงกาแฟ และอุปกรณ์คุณภาพสูง สถาบันสอนพัฒนาธุรกิจร้านกาแฟ รวมถึงธุรกิจร้านกาแฟ จวบจนวันนี้ Aroma Group ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากมายทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมชั้นนำ ร้านอาหาร ซูปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และร้านเบเกอรี่ ทั้งจากตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ Aroma กว่า 2,000 ราย ร้านค้าปลีกกว่า 7,000 ร้านค้า และ Aroma Shop กว่า 30 ร้าน พร้อมเสียงตอบรับที่มากขึ้นทุกวัน