ในปัจจุบัน รสนิยมการดื่มกาแฟของเหล่านักดื่มไทยถูกยกระดับขึ้นมาเรื่อย ๆ ทั้งใส่ใจและจริงจังมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ซื้อ-ดื่ม-จ่าย แล้วจบ แต่เหล่าคอกาแฟตัวยงยังสนใจหยั่งลึกไปถึงศาสตร์และศิลป์ที่ถ่ายทอดออกมาจากกรรมวิธีที่แตกต่าง โดยเฉพาะศาสตร์การชงแบบช้า ๆ ที่หลายคนมักเรียกติดปากว่าแนว Slow Bar วิถีที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการสกัดกาแฟแบบดั้งเดิม ทำให้ร้านกาแฟสมัยใหม่มักออกแบบมาพร้อมแนวสโลว์บาร์มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ต่อเหล่านักดื่มที่ชอบสไตล์พิถีพิถันอันทรงเสน่ห์
กาแฟ Slow Bar คืออะไร
กาแฟแนว Slow Bar เป็นวิถีการชงกาแฟที่เน้นรูปแบบพิถีพิถันในฉบับที่แตกต่างกันออกไป หัวใจหลักก็สมชื่อ Slow Bar คือการชงแบบช้า ๆ แต่ว่าเต็มไปด้วยเสน่ห์และความคลาสสิก หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่า วิถี Slow Bar จะเน้นให้บาริสต้ามาชงกับมือให้เราดื่มกันแบบแก้วต่อแก้ว โดยไม่พึ่งเครื่องชงเอสเปรสโซ่ โดยวิธีการสกัดกาแฟที่นิยมมากในหมู่ Slow bar มักเป็นการดริปกาแฟ หรือ ชงด้วย Portable Maker วิธีเหล่านี้จึงเต็มไปด้วยศิลปะการชงแบบเน้น ๆ ชงให้เห็นกันต่อหน้าจากบาริสต้ามือฉมังที่มีความรู้อยู่แล้ว คล้ายกับโชว์แสดงศิลปะการสกัดกาแฟกลาย ๆ ทำให้นักดื่มได้บรรยากาศ ได้เข้าถึงขบวนการทำจนกระทั่งลิ้มรสชาติ ที่สำคัญ ฝั่งบาริสต้ายังได้พื้นที่ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนโดยตรงกับคอกาแฟ เกิดเป็นคอมมูนิตี้เล็ก ๆ ของคนรักกาแฟเหมือนกัน ทั้งอบอุ่น น่ารักและให้บรรยากาศที่พิเศษกว่าร้านกาแฟรูปแบบเดิม ๆ
แม้ปัจจุบัน การชงกาแฟแบบ Slow Bar จะเข้ามามีอิทธิพลต่อกลุ่มคอกาแฟตัวยง ไม่ว่าจะชงดื่มเองที่บ้านหรือออกไปดื่มตามคาเฟ่ แต่การชงกาแฟแบบรวดเร็วทั่วไป ที่เรียกว่าแนว Speed Bar ก็ยังคงเป็นที่ต้องการในหมู่นักดื่มกาแฟเสมอ ฉะนั้น ร้านกาแฟ Specialty บางร้านจะมีทั้งแบบชงช้าและไวปกติ พร้อมแบ่งโซนชัดเจน ทำให้คอฟฟี่เลิฟเวอร์ไม่จำเป็นต้องเลือกไปที่ไหน เพราะสามารถตอบโจทย์ได้ในร้านเดียว!
Slow Bar กับ Speed Bar แตกต่างกันอย่างไร

มิติการชงกาแฟช้า-เร็วเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก “Slow Bar” เป็นวิถีการชงเครื่องดื่มช้า ๆ ที่ต้องใช้เวลาอย่างพิถีพิถัน มักชงด้วยมือจากบาริสต้า ผ่านเครื่องชงในกลุ่ม Portable Maker / Hand Maker เช่น กาแฟดริป ไซฟ่อน หรือ มอคค่าพอท มักใช้เวลาร่วม 5 นาทีเป็นอย่างต่ำ บางกระบวนการสามารถกินเวลาถึง 20 นาทีหรือข้ามวัน ด้วยความประณีตตั้งแต่เลือกวัตถุดิบ บดเมล็ด จนถึงวิธีการชงเฉพาะ เมนูกาแฟที่ได้ส่วนใหญ่มักเป็น กาแฟดำ (Black Coffee) กาแฟสกัดเย็น (Cold Brew) หรือ เอสเปรสโซ่ (Espresso) ขณะที่ “Speed Bar” เป็นวิถีการชงกาแฟที่สามารถพบได้ตามร้านกาแฟทั่วไป เน้นรวดเร็วฉับไว มักมาในคอนเซ็ปต์ ซื้อ-ดื่ม-จ่าย แล้วจบ วิธีนี้จะผ่านการชงด้วยเครื่องเอสเปรสโซ่ที่สามารถสกัดเอสเปรสโซ่ช็อตได้ในเวลาเพียง 25 – 30 วินาที เครื่องดื่มที่ชงผ่านแนว Speed Bar มักใช้เวลาเพียง 5 นาทีต่อแก้วเท่านั้น เมนูที่ได้จากคาเฟ่แนว Speed Bar ก็มักเป็นเมนูบนท้องตลาดทั่วไป เช่น อเมริกาโน่ เอสเปรสโซ่ คาปูชิโน่ ลาเต้ และอื่น ๆ เรียกว่าเป็นเมนูพื้นฐานที่คอกาแฟต่างรู้จักเป็นอย่างดี
ทั้ง 2 รูปแบบจึงต่างให้สไตล์การชงและดื่มที่ต่างมิติกันออกไป จดจำได้ง่าย ๆ ว่า Slow Bar = ชงช้า ใช้เวลาและพิถีพิถัน ส่วน Speed Bar = พบได้ตามร้านกาแฟทั่วไป ชงไว เมนูเบสิก
6 ประเภทการชงกาแฟแนว Slow Bar

การชงกาแฟแนว Slow Bar ตามคอนเซ็ปต์ “ชงช้า ๆ แต่มีเสน่ห์” สามารถมีได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับว่าจะชงกาแฟด้วยเครื่องชงแบบไหน ซึ่งส่วนมาก มักเป็นการชงด้วยมือแทบทุกขั้นตอน ตั้งแต่บดเมล็ด เตรียมอุปกรณ์ ตลอดจนการชงก็ยังต้องอาศัยมือบาริสต้าเป็นองค์ประกอบหลักเพื่อสกัดกาแฟเสมอ ประกอบไปด้วย 6 ประเภท ดังนี้
French Press
การชงด้วยเครื่อง French Press เป็นการชงโดยใช้หลักการแช่ (Immersion) ด้วยน้ำร้อน มักใช้เวลาแช่กาแฟประมาณ 3 – 4 นาที ก่อนใช้แรงกดอากาศด้วยก้านสูบกดมือเพื่อสกัดเอากาแฟที่เข้มข้นที่สุด วิธีนี้อาจทิ้งกากกาแฟเอาไว้เล็กน้อย
Aeropress
การชงด้วย Aeropress จะใช้หลักการแบบแช่ (Immersion) ด้วยน้ำร้อน คล้ายกับแบบ French Press มักใช้เวลาประมาณ 3 นาที ตามด้วยการกดกระบอกสูบด้วยมือเพื่อให้เกิดแรงดันอากาศสกัดเอากาแฟในขั้นตอนสุดท้าย
Moka Pot
การชงกาแฟด้วยหม้อ Moka จะเป็นการชงด้วยหลักการแรงดันไอน้ำ คล้ายกับวิธีการชงแบบ Espresso Machine แต่ทำผ่านวิธีการต้มด้วยหม้อเฉพาะ ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที กาแฟที่ได้มักอยู่ในรูปแบบเอสเปรสโซ่ช็อตเข้มข้น
Syphon
ไซฟ่อน เป็นการชงกาแฟโดยใช้หลักการสุญญากาศ (Vacuum Brew) ด้วยอุปกรณ์ที่คล้ายกับหลอดทดลองทางวิทยาศาสตร์ มักใช้เวลาในการสกัดให้ได้กาแฟดำประมาณ 3 – 5 นาที เป็นวิธีที่บาริสต้าต้องมีความรู้ระดับหนึ่ง พบได้เฉพาะคาเฟ่ Slow Bar
Drip Coffee
กาแฟดริป เป็นการชงกาแฟด้วยหลักการแบบหยด (Dripping) นับเป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุดตามคาเฟ่ Slow Bar เนื่องจากได้รับความนิยมสูงและมีความคลาสสิคในตัวเอง การชงรูปแบบนี้มักใช้เวลาประมาณ 3 – 10 นาที
Cold Brew
กาแฟสกัดเย็น เป็นการชงกาแฟที่ใช้หลักการแช่ (Immersion) ด้วยการนำผงกาแฟบดและน้ำเย็นมาแช่ทิ้งไว้ เป็นเวลา 8 – 24 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย มักได้เป็นกาแฟดำที่มีความเข้มข้นสูง
5 อุปกรณ์แนะนำ สำหรับชงกาแฟ Slow Bar
ถึงแม้ร้านกาแฟแนว Slow Bar จะมีมากขึ้นในปัจจุบัน แต่วิธีการชงแบบ Slow Bar นั้น จริง ๆ แล้ว เราก็สามารถชงดื่มได้เองที่บ้านง่าย ๆ หรือสามารถพกพาได้ง่าย สะดวกและน้ำหนักเบา สายออกแคมป์ ชอบการเดินทาง หรือสายกาแฟมือใหม่ก็สามารถซื้ออุปกรณ์มาชงได้ด้วยงบไม่สูงได้
1. อุปกรณ์ชงกาแฟ (Coffee Maker): อุปกรณ์ชงกาแฟ Slow Bar ที่หาซื้อง่ายในราคาย่อมเยา เหมาะกับคนอยากเริ่มต้นและคนอยากชงแนว Slow Bar ได้เองที่บ้าน นั่นก็คือ “ชุดดริปกาแฟ Hario V60 Coffee Maker” เป็นอุปกรณ์ดริปกาแฟ จาก Hario แบรนด์ชั้นนำอันดับต้น ๆ ในวงการกาแฟดริป เซตนี้จะประกอบด้วย ดริปเปอร์พลาสติก V60 และโถรองกาแฟ (Sever) ด้านล่างขนาด 600 ml. มาพร้อมกับกระดาษกรองกาแฟ (Filter Paper) 1 แพ็คและช้อนตวงกาแฟ 1 คัน เป็นเซ็ตที่มีอุปกรณ์จำเป็นครบถ้วน เหมาะกับการชงแบบ Slow Bar เองง่าย ๆ ที่บ้าน
2. เครื่องบดกาแฟ (Coffee Grinder): “Hario Ceremic Coffee Mill Skerton+” เป็นเครื่องบดแบบกะทัดรัต บดกาแฟแบบหมุนมือ (Hand Coffee Grinder) จากแบรนด์ Hario สัญชาติญี่ปุ่น มีความโดดเด่นที่เฟืองบด (Burr) ทำจากวัสดุเซรามิก ช่วยให้เมล็ดกาแฟไม่สูญเสียน้ำมันหรือรสชาติระหว่างการบดเมล็ดกาแฟ ส่งผลให้กาแฟที่นำไปชงจะได้รับรสชาติอย่างเต็มที่ เหมาะแก่การพกพา ใช้งานง่าย มีการออกแบบให้สามารถถอดและเก็บก้านบด สามารถจุกาแฟได้ถึง 100 g. เพื่อพกพานอกสถานที่
3. เครื่องชั่งดิจิทัล (Scale): “V60 Drip Scale” จากแบรนด์ Hario ตาชั่งกาแฟแบบดิจิตอลพร้อมตัวจับเวลาในตัว ที่มาในรูปแบบสีดำ เรียบง่ายสไตล์มินิมอล เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ชั่งตวงที่สำคัญ เพื่อความแม่นยำในการชงกาแฟ เพื่อสกัดให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพสูงสุด ตาชั่งสามารถรับน้ำหนักได้อย่างมาตรฐานเพราะสามารถรับน้ำหนักได้ทั้งตัวเครื่องอย่างเสถียร ตัวเครื่องน้ำหนักเบาทำจากวัสดุ ABS Resin ชั่งละเอียดได้ตั้งแต่ 2-2000 g
4. กาต้มน้ำ (Kettle): อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญของการชงแบบ Slow Bar ทุกประเภท โดยเฉพาะกาแฟดริป “V60 Drip Kettle” เป็นกาต้มน้ำมินิมอลสไตล์จากแบรนด์ Hario ที่ใช้สำหรับการชงแบบ Slow Bar โดยเฉพาะ ด้วยรูปทรงที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การชงกาแฟ ทำให้การหยิบเทและควบคุมทิศทางน้ำทำได้ง่ายกว่า และยังใส่ใจใช้วัสดุไม่นำความร้อนบริเวณที่จับอีกด้วย
5. เมล็ดกาแฟ (Coffee Beans): การชงกาแฟ Slow Bar มีจุดเด่นให้เราสามารถเลือกใช้เมล็ดกาแฟแบบที่ชื่นชอบได้ อยากดื่มรสชาติแบบไหน Taste Note เป็นอย่างไร ก็สามารถปรับแต่งผ่านการเลือกเมล็ดกาแฟได้นั่นเอง “แบรนด์ Aroma” เป็นแบรนด์ที่มีเมล็ดกาแฟให้เลือกอย่างหลากหลาย เช่น
Aroma Victory series = เมล็ดกาแฟที่ได้ดีกรีรางวัล Gold medal (ระดับเหรียญทอง) ในกลุ่มกาแฟ International Espresso จากสถาบัน International Institute of Coffee Tasters (IIAC) ที่จัดประกวดที่ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น การันตีความหอมและคุณภาพเยี่ยม เมล็ดกาแฟเบลนด์พิเศษ คั่วระดับกลาง ด้วยเทคนิคโดดเด่นสไตล์อิตาลี
• เมล็ดกาแฟคั่ว Victory Series – Infinity Blend
• เมล็ดกาแฟคั่ว Victory Series – Contento Blend (Rank 10)
• เมล็ดกาแฟคั่ว Victory Series – Brame Blend (Rank 2)
• เมล็ดกาแฟคั่ว Victory Series – Amabile Blend
Aroma Majesty / Caramellow Blend = เป็นกาแฟคัดสรรพิเศษชั้นดีจากทั่วมุมโลก ด้วยเทคนิคการคั่วเฉพาะของแบรนด์ Aroma ทำให้มีกลิ่นและรสชาติเด่นเป็นเอกลักษณ์ เหมาะกับคอกาแฟรุ่นใหม่ที่ชอบค้นหารสชาติกาแฟสุดพิเศษ
• Caramellow Blend : เมล็ดบราซิล โทนนัตตี้ คาราเมล หอมกลมกล่อม
• Majesty Blend : เมล็ดโคลัมเบีย โทนผลไม้แห้ง อาฟเตอร์เทสหวานติดปลายลิ้น
แม้จะเป็นเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของกาแฟ Slow Bar แต่ก็นับว่าเป็นความพิถีพิถันที่น่าสนใจมากทีเดียว สมกับเป็นกระแสการชงกาแฟที่มาแรงมากในยุคสมัยนี้ เพราะไม่เพียงรสชาติที่ได้จะถูกใจคอกาแฟแบบเต็มที่ แต่กรรมวิธีสุดพิเศษสไตล์ Slow Bar ยังช่วยชูความโดดเด่นให้เครื่องดื่มง่าย ๆ กลายเป็นเหมือนผลงานศิลปะชิ้นโปรดได้อีกด้วย