วนกลับมาที่อาณาจักรกาแฟอันรุ่งเรืองที่เรียกได้ว่าปริมาณการบริโภคกาแฟมีแต่จะทวีคูณขึ้นในทุก ๆ วัน ที่สำคัญ วงการชงกาแฟด้วยตัวเองที่บ้านก็เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างจริงจังมากขึ้นอีกด้วย ชนิดที่ว่า เหล่านักชงทั้งมือโปรและมือใหม่ ต่างหันมาใส่ใจในวัตถุดิบและอุปกรณ์ชงดื่มเองกันมากขึ้น ยังไม่นับรวมร้านกาแฟเปิดใหม่หรือคาเฟ่สไตล์ Slow Bar ที่เข้ามามีบทบาทต่อวงการกาแฟไม่น้อย หลาย ๆ ปัจจัยส่งผลให้การดื่มกาแฟยุคนี้มีศิลปะแทรกไว้ในทุกสเต็ป มีความจริงจัง ใส่ใจและหยิบนำเอาวัฒนธรรมการชงกาแฟมาประยุกต์ใช้ในฉบับเข้าถึงง่ายกว่าแต่ก่อน

และแน่นอนว่า กว่าจะไปถึงกรรมวิธีการชงให้อร่อยถูกปาก ขั้นตอนการบดเมล็ดเป็นวัตถุดิบหลัก จึงแทบจะเป็นด่านแรก ๆ ที่เหล่านักชงต้องเผชิญ วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักและหยั่งลึกถึงจุดเริ่มต้นกับ “เครื่องบดกาแฟ” อุปกรณ์แรกเริ่มที่เข้าใจไม่ยาก แต่สามารถยกระดับรสชาติกาแฟจากมือใหม่ให้เป็นมือโปรได้อีกขั้น!

“เครื่องบด” อุปกรณ์เริ่มต้นการชงกาแฟให้มีประสิทธิภาพ

“เครื่องบด” อุปกรณ์เริ่มต้นการชงกาแฟให้มีประสิทธิภาพ

แม้ว่าปัจจุบัน การบดกาแฟอาจถูกทดแทนด้วยผงกาแฟพร้อมใช้ที่วางขายตามท้องตลาด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การบดเมล็ดกาแฟด้วยตนเองมักให้มิติที่น่าอัศจรรย์กว่ามาก ทั้งกรรมวิธีเชิงศิลป์ กลิ่นหอมสดใหม่ รสชาติถูกใจและรสสัมผัสอื่น ๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า บทบาทของเครื่องบดกาแฟนั้นมีผลต่อรสชาติและคุณภาพของกาแฟมากกว่าที่คิด ระดับการบดทั้งละเอียดและหยาบกลับให้รสชาติต่างกันอย่างน่าแปลก ที่สำคัญ แต่ละเมนูยังเหมาะกับเครื่องบดในขนาดที่แตกต่างกันอีกด้วย ถ้าจะลิ้มรสกาแฟคุณภาพดีแบบนักชงมือโปร ก็ต้องมีความรู้ในการเลือก Grinder Size ให้ถูกต้อง

ปกติแล้ว ขนาดการบดของเครื่องบดกาแฟมักมีอยู่ด้วยกัน 6 ระดับ ไล่จากไซซ์ละเอียดที่สุดไปยังหยาบที่สุด ซึ่งแต่ละขนาดจะเหมาะสมที่สุดกับเมนูกาแฟที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้

  • Superfine (0.1 mm.): ความละเอียดเทียบเท่าแป้ง เหมาะกับเมนูเฉพาะ อย่าง Turkish Coffee
  • Fine (0.3 mm.): ความละเอียดเทียบเท่าน้ำตาลทรายชนิดละเอียด เหมาะกับเมนูจำพวก เอสเปรสโซ่
  • Medium-Fine (0.5 mm.): ความละเอียดเทียบเท่าเกลือปกติ เหมาะกับการชงกาแฟจาก Moka Pot, Aeropress และแบบ Pour-over
  • Medium (0.75 mm.): ความละเอียดเทียบเท่าเม็ดทราย เหมาะกับการชงกาแฟแบบ Pour-over หรือ กาแฟดริป (Drip Coffee)
  • Coarse (1 mm.): ความละเอียดเทียบเท่าเกลือชนิดละเอียด เหมาะสำหรับการชงกาแฟด้วยเครื่อง French Press
  • Extra-Coarse (1.5 mm.): ความละเอียดเทียบเท่าเกลือหยาบ ๆ เหมาะสำหรับการชงกาแฟแบบสกัดเย็น (Cold Brew)

แนะนำอ่านต่อ : คอกาแฟต้องรู้ ! กาแฟคั่วเข้ม-กลาง-อ่อน ต่างกันอย่างไร ?

ประเภทของ “เครื่องบดกาแฟ”

เครื่องบดกาแฟมักถูกแบ่งประเภทตามฟังก์ชันการใช้งานง่าย ๆ โดยหลัก ๆ จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แบบบดมือ และ แบบไฟฟ้า

1. แบบบดมือ (Manual Coffee Grinder) : เครื่องบดกาแฟแบบบดมือ หรือ แบบหมุนมือ มีหลักการใช้ง่าย ๆ ทำได้ด้วยมือเรา ประเภทนี้จะเป็นรูปแบบที่คลาสสิคที่สุดและกำลังกลับมาเป็นกระแสอย่างมากในช่วงนี้ ด้วยจุดเด่นที่ผู้ใช้สามารถปรับขนาดการบดผงกาแฟได้อย่างหลากหลาย ประยุกต์เข้ากับหลายเครื่องชงและหลายเมนู ไหนจะข้อดีเรื่องการพกพาสะดวกและไม่ต้องใช้ไฟฟ้า การทำงานจึงไม่มีเสียงเครื่องให้รบกวน สำคัญที่สุดคือ แบบบดมือมีช่วงราคาที่ย่อมเยา ตั้งแต่ถูกมาก ๆ ไปจนถึงแพง นับเป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับนักชงมือใหม่

เครื่องบดกาแฟแบบบดมือ

2. แบบบดไฟฟ้า (Electric Coffee Grinder) : ขึ้นชื่อว่าเครื่องบดกาแฟแบบไฟฟ้า การทำงานก็จะสะดวก รวดเร็วและแสนง่าย ประเภทนี้มักมาพร้อมฟังก์ชันการทำงานที่ทันสมัย แค่เพียงกดปุ่มตามต้องการเท่านั้น มีจุดเด่นเป็นการทำงานที่รวดเร็วฉับไว ไม่เสียแรงและเวลา แต่ทว่า เครื่องบดกาแฟแบบไฟฟ้า มักมีราคาสูงและมีเสียงเครื่องทำงานที่อาจสร้างความรำคาญเล็กน้อย ที่สำคัญ ต้องหมั่นดูแลรักษาเป็นอย่างดี

เครื่องบดกาแฟแบบไฟฟ้า

เครื่องบดกาแฟ แบบใบมีด และ แบบเฟืองบด | แตกต่างอย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน

เครื่องบดกาแฟ หากแยกตามฟังก์ชันการบดเมล็ดของตัวเครื่องแล้ว จะมีอยู่ 2 รูปแบบหลักได้แก่ เครื่องบดแบบใช้ใบมีดและเครื่องบดแบบใช้ฟันเฟือง โดยจะมีความเฉพาะตัวดังต่อไปนี้

  1. แบบใบมีด (Blade Grinder) : เครื่องบดกาแฟแบบใบมีด จะมีลักษณะเด่นเป็นใบมีดขนาดเล็ก 4 แฉก อันเป็นฟังก์ชันหลักที่ใช้เพื่อบดอัดเมล็ดกาแฟ เป็นรูปแบบที่หาซื้อได้ง่ายในราคาย่อมเยา แต่เพราะเป็นแบบใบมีด อนุภาคผงกาแฟที่ได้จะมีความหยาบ-ละเอียดที่ไม่สม่ำเสมอกัน มีทั้งผงละเอียดบ้างและหยาบบ้างปะปนกันไปไม่สามารถควบคุมการบดได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้เมื่อนำมาชงดื่ม รสชาติของกาแฟก็จะไม่ไหลลื่น ไม่นุ่มละมุนเป็นรสชาติเดียวกันทั้งหมดนั่นเอง
  2. แบบเฟืองบด (Burr Grinder) : เครื่องบดกาแฟแบบเฟืองบด จะมีลักษณะเป็นเฟือง 2 ชิ้นวางประกบกันอยู่ด้านล่าง เพื่อบีบอัดเมล็ดกาแฟให้เป็นผงเหมือนแบบใบมีด แต่ความพิเศษสุดขีดของชนิดเฟืองคืออนุภาคของผงกาแฟที่ได้จะให้ความละเอียดเสมอกันทั้งหมดและผู้ใช้สามารถปรับระดับความละเอียดได้อีกด้วย ส่งต่อไปยังรสชาติกาแฟที่ออกมาก็จะเสมอกัน ไม่รู้สึกโดด นับเป็นรูปแบบที่ถูกนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เนื่องจากฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าเมื่อเทียบกับแบบใบมีด

นอกจากนี้เครื่องบดกาแฟแบบเฟืองบด ยังแบ่งย่อยไปอีก 2 ชนิด ได้แก่ เฟืองบดแบน (Flat Burr) เป็นชนิดที่ถูกวางขายมากที่สุด มีลักษณะเป็นเฟือง 2 แผ่นวางซ้อนกัน มีข้อดีที่จะปรับความละเอียดได้ง่าย และ เฟืองบดกรวย (Conical Burr) เป็นรูปแบบเฟือง 2 ส่วนที่ต้องวางครอบประกอบกันบนล่าง มีข้อดีที่รอบความเร็วในการบดต่ำ ทำให้ไม่เกิดการเสียดสีสร้างความร้อนไปกระทบกับผงกาแฟและมีเสียงบดที่เบากว่าแบบเฟืองแบน

เท่ากับว่า ถ้าให้เทียบเรื่องประโยชน์และผลดีต่อรสชาติ เครื่องบดกาแฟแบบเฟืองบด (Burr Grinder) ก็นับว่ากินขาดพอสมควร เรียกว่าดีต่อรสชาติ ดีต่อการใช้งาน และดีต่อการลงทุนมาชงด้วยตนเอง ใช้ง่าย เหมาะกับนักชงมือใหม่ที่อยากไปถึงระดับโปร

 

4 เกณฑ์ที่ต้องคำนึง ก่อนเลือกเครื่องบดกาแฟให้เหมาะกับการใช้งาน

4 เกณฑ์ที่ต้องคำนึง ก่อนเลือกเครื่องบดกาแฟให้เหมาะกับการใช้งาน
  1. ตามการใช้งาน

    การจะเลือกซื้อเครื่องบดกาแฟที่เหมาะสมได้ เราจำเป็นต้องยึดหลักเกณฑ์การเลือกตามการใช้งานเสมอ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด กล่าวคือ หากเราเป็นนักชงมือใหม่ที่อยากได้เครื่องบดสำหรับชงดื่มเองยามเช้า เราก็ควรเลือกเครื่องบดที่ใช้งานง่ายและหาซื้อไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องฟังก์ชันครบ แต่ต้องตอบโจทย์ต่อกรรมวิธีการชงประจำวันของเรา หากแต่เป็นการใช้งานเชิงพาณิชย์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องลงทุนไปกับเครื่องบดกาแฟคุณภาพสูง โดยเฉพาะ เครื่องบดกาแฟแบบไฟฟ้า เนื่องจากการค้าขายต้องอาศัยความรวดเร็วฉับไวและความแม่นยำที่สูง
  2. คุณสมบัติและฟังก์ชัน

    นอกจากเลือกตามการใช้งาน ฟังก์ชันและคุณสมบัติเฉพาะของตัวเครื่องบดก็ควรนำมานับรวมด้วย เนื่องจากคุณสมบัติเครื่องบดแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกัน เหมาะกับเมนูเครื่องดื่มที่หลากหลาย รวมถึงความสะดวกสบายของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเครื่องบดแบบหมุนมือหรือไฟฟ้า แบบใบมืดหรือเฟืองบด ล้วนมีฟังก์ชันที่ให้ความรู้สึกต่อผู้ใช้และส่งผลต่อรสชาติกาแฟทั้งสิ้น ฉะนั้น ก่อนเลือกซื้อเครื่องบดกาแฟที่ใช่ เราควรใส่ใจรายละเอียดของคุณสมบัติและฟังก์ชันแต่ละประเภทเสมอ เพื่อเฟ้นหารูปแบบที่ตรงใจที่สุด
  3. ดีไซน์และการออกแบบ

    ถัดจากการฟังก์ชันและการใช้งาน การออกแบบ ยังมีผลต่อการเลือกซื้อในทางอ้อม ซึ่งในปัจจุบัน การออกแบบและดีไซน์ของเครื่องบดกาแฟ นับว่าไปไกลพอสมควร มีตัวเลือกทั้งขนาดที่พกพาสะดวก สีสันที่เข้าเซ็ต รวมถึงดีไซน์ที่เอื้อต่อการใช้งาน เรียกได้ว่า มีตัวเลือกให้หยิบจับอย่างหลากหลายจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการชงกาแฟเชิงพาณิชย์ การเลือกดีไซน์ที่สวยหรูหรือมินิมอลเข้ากับร้าน ก็จะยิ่งช่วยชูความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ดึงดูดสายตาต่อลูกค้าไม่น้อย
  4. ราคา

    ตัวเลือกของราคา นับเป็นปัจจัยสำคัญของนักชงและคอกาแฟหลายคน แถมยังเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ต้องนำมาคำนึงเสมอ เพราะจริง ๆ แล้ว ตัวเลือกช่วงราคาของเครื่องบดกาแฟในปัจจุบัน ถือว่ามีความหลากหลายมาก ตั้งแต่ราคาถูกที่หาซื้อได้ตามช่องทางออนไลน์หรือแอปฯอีคอมเมิร์ซ ไปจนถึง ร้านค้าปลีก ที่ให้บริการสินค้าตั้งแต่ถูกไปจนแพง

    และทั้งหมดทั้งมวลที่เราหยิบยกมาในวันนี้ สะท้อนให้เห็นแล้วว่า ทำไมการเลือกหรือปรับใช้เครื่องบดกาแฟแค่จุดเริ่มต้นง่าย ๆ ก็สามารถเปิดโลกวงการชงกาแฟใบใหม่ให้โปรมากยิ่งขึ้น เพราะถึงแม้ว่า เครื่องบดกาแฟ จะเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสุด ๆ แต่ก็เป็นตัวเปลี่ยนเกมในการชงกาแฟที่ไปสุดเช่นกัน