สำหรับผู้ประกอบการและเจ้าของกิจการร้านกาแฟหรือคาเฟ่แล้ว สิ่งสำคัญที่จะต้องเลือกสรรและให้ความใส่ใจเลยก็คือวัตถุดิบเมล็ดกาแฟ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพดี แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีราคาที่คุ้มค่าเพื่อที่ธุรกิจจะได้ไม่ต้องแบกภาระต้นทุนที่มากเกินไป และช่วยให้ลูกค้าร้านกาแฟของคุณไม่ต้องจ่ายค่ากาแฟแก้วโปรดในราคาที่สูงมากด้วย
มาถึงตรงนี้อาจทำให้หลายคนเกิดคำถามขึ้นว่า “แล้วจะมีเมล็ดกาแฟที่มีราคาไม่สูง และมีคุณภาพดีหรือเปล่า?” คำตอบคือ มี หากเลือกแหล่งค้าส่งได้ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และได้มาตรฐาน จึงจะได้เมล็ดกาแฟราคาส่งที่มีคุณภาพตามความต้องการและคุ้มค่าที่สุด ซึ่งนอกจากเรื่องราคาแล้ว คุณภาพของเมล็ดกาแฟถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องใส่ใจให้ดี เพราะจะมีผลต่อร้านค้าโดยตรงอย่างแน่นอน ดังนั้น Aroma มีเคล็ดลับมาบอกเกี่ยวกับการเลือกเมล็ดกาแฟราคาส่งให้ได้เมล็ดกาแฟที่ดีที่สุด จะต้องพิจารณาและคำนึงถึงอะไรบ้าง? เพื่อให้ร้านกาแฟของคุณชงกาแฟออกมาได้รสชาติที่ดีในทุกแก้ว
ร้านกาแฟ เลือกอย่างไรให้ได้เมล็ดกาแฟราคาส่งคุณภาพดี
หัวใจสำคัญของร้านกาแฟก็คือ “เมล็ดกาแฟ” ที่หากรู้จักเมล็ดกาแฟดีมากเท่าไหร่ ก็จะสามารถเลือกเมล็ดกาแฟได้ตรงความต้องการมากเท่านั้น และจะช่วยดึงดูดลูกค้าได้ดีอีกด้วย ดังนั้นการจะเลือกเมล็ดกาแฟมาใช้ จำเป็นต้องศึกษาและทำความรู้จักกับเมล็ดกาแฟก่อน ตั้งแต่สายพันธุ์ของเมล็ดกาแฟสด เมล็ดกาแฟคั่ว ไปจนถึงเมล็ดกาแฟที่ผ่านการบดมาแล้ว เพราะความแตกต่างกันของเมล็ดกาแฟเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อกลิ่นและรสชาติของกาแฟที่ชงออกมานั่นเอง

เมล็ดกาแฟสด
ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าเมล็ดกาแฟสดนั้นนิยมใช้กัน มีอยู่ 2 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ
- เมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิก้า (Arabica) – มีลักษณะเมล็ดเรียว เมื่อผ่านการคั่วจะให้รสชาติที่หอมกลมกล่อมนุ่มนวล แต่ยังคงมีความเข้มข้น มีปริมาณกาเฟอีนที่ค่อนข้างต่ำ มีการปลูก 3 ใน 4 ของกาแฟทั้งหมด เพราะเป็นที่นิยมมากที่สุดจากทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยหากอยากได้เมล็ดกาแฟอราบิก้าคุณภาพดี แนะนำให้เลือกจากแหล่งที่ปลูกบนที่สูงและอากาศเย็น อย่างแถบภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ หรือลำปาง เป็นต้น
- เมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) – เป็นเมล็ดกาแฟที่มีลักษณะอวบ มีเส้นแบ่งกึ่งกลางเมล็ด เมื่อผ่านการคั่วจะมีกลิ่นค่อนข้างฉุน ให้รสชาติเข้มข้น ค่อนข้างขมและออกเปรี้ยว มีบอดี้ของกาแฟและมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่า เมื่อเทียบกับเมล็ดกาแฟอราบิก้า เมล็ดกาแฟโรบัสต้าจึงมักนิยมใช้ทำเป็นกาแฟซอง หรือกาแฟสำเร็จรูปมากกว่าใช้ชงในร้านกาแฟสด ด้วยระดับราคาที่ถูกแม้จะมีการปลูกและผลิตน้อย เพราะความนิยมไม่มากเท่ากับเมล็ดกาแฟอราบิก้า
ยกตัวอย่างเช่น หากเมล็ดกาแฟราคาส่งโรบัสต้ามีราคากิโลกรัมละ 400 บาท เมล็ดกาแฟอราบิก้าจะมีราคากิโลกรัมละ 590 บาท แต่ราคาก็ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาและแบรนด์ที่แตกต่างกันของเมล็ดกาแฟด้วย ฉะนั้นสิ่งที่จะต้องคำนึงถึงในการเลือกใช้เมล็ดกาแฟภายในร้านนั้น การเจาะ “กลุ่มเป้าหมายลูกค้า” ว่ามีกำลังซื้อมากน้อยแค่ไหนและต้องการหรือมีรสนิยมในการดื่มกาแฟรสชาติแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วลูกค้าจะชอบกาแฟที่มีรสชาติเข้มและกลมกล่อม ดังนั้นจึงมีสูตรผสมของเมล็ดกาแฟระหว่างอราบิก้าและโรบัสต้า เพื่อดึงเอารสชาติที่โดดเด่นของทั้งสองชนิดมาไว้เข้าด้วยกันในอัตราส่วนตามต้องการ เพื่อการสร้างรสชาติที่หลากหลาย และในขณะเดียวกันก็เป็นการเฉลี่ยต้นทุนกาแฟ และเฉลี่ยรสชาติและความหอมที่ลงตัวมากยิ่งขึ้นของกาแฟอีกด้วย
เมล็ดกาแฟคั่ว

กรรมวิธีการคั่วเมล็ดกาแฟนั้นถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อระดับความหอมและรสชาติของเมล็ดกาแฟได้โดยตรง เพราะเมล็ดกาแฟสดนั้นจะยังไม่มีกลิ่นและรสชาติใดๆ ก่อนจะผ่านการคั่ว ดังนั้นหากต้องการเมล็ดกาแฟที่ตรงตามความต้องการและทำให้ร้านกาแฟเป็นที่ดึงดูดจากกลิ่นที่หอมอบอวนแล้ว การเลือกระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยระดับการคั่วเมล็ดกาแฟมี 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่
- เมล็ดกาแฟคั่วอ่อน (Light Roast/Cinnamon Roast) เป็นเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วในระดับที่อ่อน จนได้เมล็ดสีน้ำตาลอ่อน ผิวแห้ง เพื่อคงไว้ซึ่งคุณสมบัติดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟสดให้ได้มากที่สุด จึงให้รสชาติที่ออกเปรี้ยวและฝาด คล้ายผลไม้ เหมาะสำหรับทำกาแฟร้อน เช่น เมนูเอสเปรสโซ่ หรืออเมริกาโน
- เมล็ดกาแฟคั่วกลาง (Medium Roast/American) เป็นการคั่วเมล็ดกาแฟในระดับกลาง เมล็ดกาแฟจะมีสีน้ำตาลเข้ม ผิวแห้ง ให้รสชาติขมติดเปรี้ยวเล็กน้อย แต่หวานมากขึ้น ให้รสสัมผัสที่นุ่มกลมกล่อม เหมาะกับการใช้ทำได้ทั้งกาแฟร้อนและกาแฟเย็น
- เมล็ดกาแฟคั่วเข้ม (Dark Roast/Vienna Roast) ระดับสุดท้ายเป็นการคั่วระดับเข้ม เมล็ดกาแฟจะมีสีน้ำตาลเข้มค่อนไปทางดำ จึงทำให้มีกลิ่นไหม้เล็กน้อย และมีน้ำมันเคลือบอยู่บนผิวของเมล็ดกาแฟ ให้รสชาติขมปนหวาน ไม่มีรสเปรี้ยว และให้กลิ่นที่ฉุน เหมาะสำหรับทำกาแฟเย็นที่ต้องการรสชาติเข้มข้น
เมล็ดกาแฟบด

หากระดับการคั่วสำคัญแล้ว ระดับการบดก็สำคัญเช่นกัน เพราะความละเอียดของการบดเมล็ดกาแฟนั้นก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติ รวมถึงกรรมวิธีการชงที่แตกต่าง เพราะหากเลือกระดับความละเอียดของการบดที่ขัดแย้งกับอุปกรณ์ร้านกาแฟอย่างเครื่องชงกาแฟแต่ละแบบ กาแฟที่ได้ก็จะถูกลดคุณภาพของกลิ่นและรสลงไปนั่นเอง
- เมล็ดกาแฟบดละเอียด เหมาะสำหรับการชงด้วยเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ ตามที่ร้านกาแฟทั่วไปเลือกใช้
- เมล็ดกาแฟบดกลาง-บดหยาบ เหมาะสำหรับการชงด้วยเครื่องชงกาแฟดริป เมื่อชงด้วยวิธีนี้ การเทน้ำลงบนเมล็ดกาแฟที่บดแบบพอดี ก็จะทำให้ได้น้ำกาแฟที่ซึมผ่านเมล็ดกาแฟได้อย่างทั่วถึง และสามารถดึงรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟออกมาได้ดีกว่า
- เมล็ดกาแฟบดหยาบ เหมาะสำหรับการชงด้วยเครื่องชงกาแฟ French Press เพราะด้วยการชงแบบใช้เครื่องชงแบบนี้ จะเป็นการแช่กาแฟในน้ำร้อน การใช้เมล็ดกาแฟแบบหยาบหน่อย จะทำให้ได้รสชาติจากการสกัดได้มากขึ้น
เพียงแค่ศึกษาและทำความรู้จักกับเมล็ดกาแฟให้มากขึ้น เท่านี้ก็เลือกเมล็ดกาแฟที่ตรงตามความต้องการ และจะได้กาแฟที่มีกลิ่นหอมและรสชาติที่จะสามารถดึงดูดและตรึงใจลูกค้าในร้านกาแฟของคุณกันได้แล้ว หวังว่าข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการเลือกเมล็ดกาแฟข้างต้นจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ หรือนำไปปรับใช้กับร้านกาแฟของได้ หรือสำหรับใครที่อยากจะเปิดร้านกาแฟในอนาคตก็สามารถนำความรู้นี้ไปวางแผนกันได้ และสำหรับใครที่กำลังมองหาแหล่งวัตถุดิบเมล็ดกาแฟที่ได้ทั้งคุณภาพและราคาที่คุ้มค่าแล้ว ก็สามารถมาเลือกซื้อได้กับ Aroma เพราะเรามีเมล็ดกาแฟราคาส่งให้เลือกมากมายหลากหลายชนิด ตามความต้องการของธุรกิจกาแฟของคุณ พร้อมทั้งอุปกรณ์และวัตถุดิบอื่นๆ เกี่ยวกับกาแฟอย่างครบวงจรที่สุด
WE ARE AROMA
Aroma Group คือผู้นำธุรกิจกาแฟคั่วบด และเครื่องดื่มแบบครบวงจร ที่มีความเชี่ยวชาญ และสั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี ธุรกิจของเราครอบคลุมตลอดต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การคัดสรรและจัดจำหน่ายวัตถุดิบชั้นดี การจำหน่ายเครื่องชงกาแฟ และอุปกรณ์คุณภาพสูง สถาบันสอนพัฒนาธุรกิจร้านกาแฟ รวมถึงธุรกิจร้านกาแฟ จวบจนวันนี้ Aroma Group ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากมายทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมชั้นนำ ร้านอาหาร ซูปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และร้านเบเกอรี่ ทั้งจากตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ Aroma กว่า 2,000 ราย ร้านค้าปลีกกว่า 7,000 ร้านค้า และ Aroma Shop กว่า 30 ร้าน พร้อมเสียงตอบรับที่มากขึ้นทุกวัน
อ้างอิง: