หากจะพูดถึงเครื่องดื่มแก้วโปรดอย่าง “กาแฟ” ที่หลายคนมักเลือกซื้อในตอนเช้า และเครื่องดื่มที่ใครหลายคนขาดไม่ได้ในแต่ละวัน ก็คงจะมี “กาแฟอาราบิก้า” เป็นหนึ่งในเมนูเหล่านั้นอย่างแน่นอนที่สุด ความนิยมการดื่มกาแฟดูมีแนวโน้มจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นก็อาจจะเพราะว่า ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เมนูใหม่ ๆ เริ่มเข้ามา ทำให้กาแฟเป็นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ดื่มง่ายขึ้น และมีอะไรให้น่าค้นหากว่าเดิมมาก แม้กระทั่งรูปแบบการชงกาแฟต่าง ๆ รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์แปลกใหม่ ก็ยิ่งมีให้เลือกสรรอย่างหลากหลาย ไม่จำเจ
จนถึงปัจจุบันนี้ ความนิยมเรื่องของกาแฟในไทย ก็ดูไม่เคยแผ่วลงเลย หนำซ้ำ ผู้คนยังเริ่มหันมาศึกษากาแฟกันอย่างจริงจังขึ้นอีก จนถึงขั้นที่ว่า กาแฟ กลายมาเป็นงานอดิเรกอันดับหนึ่งของใครหลายคนไปเสียแล้ว มีการสร้างคอมมูนิตี้ที่ใหญ่ขึ้น สื่อโซเชียลที่ตีแผ่และแลกเปลี่ยนความชอบของ Coffee Lover ไหนจะช่องทางการซื้อขายเมล็ดพันธุ์แปลกใหม่ ตลอดจนการหาซื้ออุปกรณ์ – เครื่องมือที่ต้องมีติดบ้านสำหรับชงกาแฟแก้วโปรดโดยเฉพาะ ยังไม่นับรวมค่านิยมของชาว coffee hopper ที่มีไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวคาเฟ่ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ นั่นยิ่งทำให้สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องกาแฟในไทยมีความหลากมิติและแพร่หลายมากขึ้นจริง ๆ

เมล็ดกาแฟ หัวใจสำคัญอันดับหนึ่ง!
และหากพูดถึงกาแฟ สิ่งที่แฟน ๆ ตัวยงให้ความสำคัญกันมาก ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘เมล็ดพันธุ์’ เพราะนี่คือตัวแปรสำคัญที่ส่งผลถึงรสชาติและกลิ่นสัมผัสเฉพาะตัว ในทางทฤษฎีแล้ว เมล็ดกาแฟ เป็นผลผลิตที่มาจากพืชดอกตระกูล Rubiaceae หรือ พืชวงศ์เข็ม ในอาณาจักรนี้เราสามารถพบเจอเมล็ดพันธุ์นับร้อยสกุลหลายพันสปีชีส์ หนึ่งในนั้นคือ สกุลกาแฟ (Coffea) ที่จะมีพืชผลในชนิดที่ยิบย่อยลงไป แต่จะมีเพียง 2 ชนิดที่เราต่างคุ้นหูและเคยชินเป็นพิเศษ นั่นก็คือ เมล็ดกาแฟอาราบิก้า และ เมล็ดกาแฟโรบัสต้า สองเมล็ดพันธุ์ที่มีความนิยมมากที่สุดและถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์มากที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่นิยมแพร่หลายทั่วโลก
วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักและเข้าใจในความต่างของสองเมล็ดกาแฟยอดนิยมแห่งวงการกาแฟกัน

เมล็ด กาแฟอาราบิก้า
ถ้าจะเรียกว่าเป็นตัวแม่แห่งวงการกาแฟ ก็คงไม่เกินจริง ‘อาราบิก้า’ นับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างมาก เพราะจากสถิติองค์กรกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization) ระบุว่า อัตราการปลูกกาแฟทั่วโลก มีการเพาะปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าไปแล้วกว่า 60% อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดเรื่องราววัฒนธรรมการปลูกและดื่มกาแฟในเอธิโอเปีย ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในหัวเรือหลักของการส่งออกเมล็ดพันธุ์กาแฟของโลกเลยก็ว่าได้ เมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) ยังมีสายพันธุ์แตกย่อยที่ได้รับความนิยมสูงสุด ถึง 2 ชนิด ได้แก่ Typica และ Bourbon โดยที่ Typica คือชนิดแรกที่ถูกค้นพบ นับเป็นต้นตำรับก็ได้ในทางหนึ่ง ส่วน Bourbon เป็นเมล็ดในสายพันธุ์อาราบิก้า ที่คงเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง มีกลิ่นที่ซับซ้อนแต่ก็สมดุล บูร์บงจึงเป็นสายพันธุ์ย่อยของอาราบิก้า ที่ถูกดัดแปลงให้เข้ากับการเพาะปลูกในแต่ละที่ทั่วทุกมุมโลก
ในแง่ของรูปลักษณ์และรสชาติ เมล็ดกาแฟอาราบิก้า จะมีรูปทรงกลมค่อนไปทางรี มีสีเข้ม ตามธรรมชาติจะมี Taste Notes / Flavor Notes (รสสัมผัส) ที่นุ่มนวล ไม่เข้มจ๋าหรือขมโดดเสียทีเดียว มีความขมที่ออกไปทางหวาน มีกลิ่นสัมผัสไปในทางช็อกโกแลต ละมุน ๆ แต่ในทางหนึ่งก็ยังมีกลิ่นของเบอร์รีซ่อนปลายอยู่ในนั้น

เมล็ดกาแฟโรบัสต้า
อีกหนึ่งตัวท็อปของวงการที่มาควบคู่กับอาราบิก้า ‘โรบัสต้า (Robusta)’ ถูกจัดอยู่ในสกุล ‘คาเนโฟรา (Coffea Canephora)’ ที่ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับสองของโลก ถึงแม้เมล็ดกาแฟโรบัสต้า จะมีฐานะเป็นรุ่นน้องสายพันธุ์อาราบิก้าที่มีมาก่อน แต่ด้วยลักษณะเฉพาะตัวโดดเด่น ก็ยิ่งส่งความนิยมให้โรบัสต้าเลื่องชื่อไม่แพ้อาราบิก้าในอดีตจนปัจจุบัน ด้วยอัตราการเพาะปลูกมากถึงเกือบ 40% โรบัสต้าเป็นพืชดอกลักษณะอ้วนท้วมและมีขนาดใหญ่กว่าอาราบิก้าถึงสองเท่าตัว มีต้นกำเนิดมาจากแถบแอฟริกาใต้ แม้จะเป็นรองอาราบิก้าแต่กลับมีกำลังผลิตเมล็ดกาแฟที่สูงกว่า ทนโรคและศัตรูพืชได้ดี
แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะดูปลูกง่ายและทนทานกว่าอาราบิก้า แต่เพราะรสชาติและรสสัมผัสที่แตกต่างออกไป จึงทำให้มีข้อแตกต่างทางตัวเลือกระหว่างสายพันธุ์พี่และน้องอยู่อย่างชัดเจน โดยธรรมชาติ เมล็ดกาแฟโรบัสต้า จะมีลักษณะกลมมน มีสีอ่อนกว่าเมื่อเทียบกับอาราบิก้า มี Taste Notes ที่ละเอียดอ่อนน้อยกว่าไม่ซับซ้อน มีรสชาติที่เข้มข้น กระด้าง และให้ความขมแบบถึงใจ แต่ก็ให้ ‘ครีมา (Creama)’ หรือชั้นครีมจากการสกัดที่มากกว่า จึงทำให้โรบัสต้าถูกเลือกมาใช้ในเมนูเอสเพรสโซ่อย่างแพร่หลายทีเดียว รวมถึงมักถูกนำไปผลิตเป็นกาแฟซอง (Instant Coffee) ที่วางขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นเอง

5 ความแตกต่างระหว่าง เมล็ดกาแฟอาราบิก้า และ โรบัสต้า
อาราบิก้าและโรบัสต้า มีความแตกต่างอย่างลงตัวให้กับนักดื่มกาแฟทั่วโลก โดยมีความต่างในรสสัมผัสและเอกลักษณ์ดังต่อไปนี้
- รสชาติ
- เมล็ดกาแฟอาราบิก้า : มีรสชาติที่ซับซ้อน คมชัด หลากมิติกว่า สามารถมีรสชาติที่นุ่มนวล ขมออกหวาน หรือ ขมออกเปรี้ยวได้ ส่วนใหญ่จะให้ฟีลคล้ายผลไม้หรือเบอร์รี
- เมล็ดกาแฟโรบัสต้า : มีรสชาติไม่ซับซ้อน เรียบง่าย ให้ความขมโดด มีกลิ่นสัมผัสไปในทางช็อกโกแลตและถั่ว (Chocolate & Nutty) มีความเป็นกรดน้อย นั่นหมายความว่า จะให้ความขมเข้มที่มากกว่า
- รูปทรง
- เมล็ดกาแฟอาราบิก้า : มีลักษณะเป็นวงกลมรี สีน้ำตาลเข้ม
- เมล็ดกาแฟโรบัสต้า : มีลักษณะเป็นทรงกลมมน สีน้ำตาลอ่อน
- การเพาะปลูก
- เมล็ดกาแฟอาราบิก้า : ลักษณะของต้นกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า จะค่อนข้างบอบบาง ต้องปลูกอยู่ในพื้นที่สูง ประมาณ 800 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล และต้องอยู่ในสภาพอากาศกึ่งร้อนกึ่งเย็น มีความชื้นสูง
- เมล็ดกาแฟโรบัสต้า : ลักษณะต้นกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า จะค่อนข้างทนทานต่อศัตรูพืชและโรค มีกำลังผลิตสูง สามารถปลูกในพื้นที่ประมาณ 200 – 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล
- ระดับคาเฟอีน
- เมล็ดกาแฟอาราบิก้า : ปกติแล้ว กาแฟอาราบิก้า จะมีระดับของคาเฟอีนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับโรบัสต้า หากวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ อาราบิก้า 1 เมล็ดจะมีระดับคาเฟอีน ประมาณ 1.2 – 1.5%
- เมล็ดกาแฟโรบัสต้า : ขณะที่โรบัสต้า จะได้ระดับคาเฟอีนที่สูงกว่า สัดส่วน 1 เมล็ดกาแฟโรบัสต้า จะมีระดับคาเฟอีนอยู่ที่ประมาณ 2.2 – 2.7% และเมื่อสกัดออกมาเป็นกาแฟ 1 ถ้วย กาแฟที่ได้จากโรบัสต้าจะมีคาเฟอีนที่สูงกว่าอาราบิก้าอย่างชัดเจน
- ราคา
- เมล็ดกาแฟอาราบิก้า : เมล็ดกาแฟอาราบิก้า จะมีราคาซื้อขายที่สูงกว่า เนื่องด้วยต้องใช้ต้นทุน ทรัพยากรในการเพาะปลูกที่มากกว่า
- เมล็ดกาแฟโรบัสต้า : เมล็ดกาแฟโรบัสต้า จะมีราคาซื้อขายที่ถูกกว่า เนื่องจากผลิตง่ายและกระบวนการเพาะปลูกนั้นทำได้ง่ายเมื่อเทียบกับอาราบิก้า
เป็นอย่างไรกันบ้างกับเรื่องน่ารู้สำหรับคอกาแฟมือใหม่ หรือใครที่อาจยังไม่รู้ที่มาที่ไปว่าทำไม 2 สายพันธุ์นี้จึงติดตลาดมาเสมอ ถึงแม้ 2 พี่น้องตระกูล Coffea ทั้งอาราบิก้าและโรบัสต้า จะมีความแตกต่างกันไปบ้างพอสมควร แต่ก็เชื่อว่าเหล่านักดื่มกาแฟหน้าเก่าและใหม่ ก็คงคุ้นเคยกับรสชาติจากสองสายพันธุ์นี้ไม่น้อย รู้ความต่างแบบนี้แล้ว ไหนทุกคนมาลองทายกันหน่อยว่า กาแฟแก้วโปรดในมือวันนี้ มีความเป็น โรบัสต้า หรือ อาราบิก้า กันแน่นะ?